7.1 สัญญาณ
(Signal)
เนื่องจากอุปกรณ์ที่จะทำการสื่อสารข้อมูลกันเป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้า ดังนั้นลักษณะของข้อมูลจะต้องเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าด้วย โดยสัญญาณทางไฟฟ้ามีอยู่สองรูปแบบคือ สัญญาณแบบอนาลอก (Analog) และสัญญาณแบบดิจิตอล (Digital)
สัญญาณอนาลอก (Analog
Signal) หมายถึง สัญญาณที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือการเคลื่อนที่ของ
ข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse Data) โดยสัญญาณจะมีขนาดไม่คงที่
มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของ สัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกันไป
ยกตัวอย่างเช่น การที่เราโยน ก้อนหินลงน้ำ บนผิวน้ำเราจะเห็นว่า
น้ำจะมีการเคลื่อนตัวเป็นคลื่น กระจายออกเป็นวงกลมรอบจุดที่หินจม ระดับคลื่นจะสังเกตุได้ว่าเริ่มจากจุดกลางแล้วขึ้นสูง
แล้วกลับมาที่จุดกลางแล้วลงต่ำ แล้วกลับมาที่จุดกลาง เป็นลักษณะนี้ติดต่อกันไป แต่ละครั้งของวงรอบเราเรียกว่า
1 Cycle โดยการเคลื่อนที่ของสัญญาณ อนาล็อก (Analog
Signal) นี้ จะมีระยะทางและเวลาเป็นตัวกำหนดด้วย
จึงทำให้มีผลต่อการส่งสัญญาณ อนาล็อก (Analog Signal) ส่วนใหญ่จึงสามารถถูกรบกวนได้ง่าย
ไม่ว่าจะเป็นจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือจากตัวของระบบอุปกรณ์เอง เพราะสัญญาณที่ส่งออกไปนั้นจะเป็นสัญญาณจริง
และเมื่อถูกรบกวนก็อาจ จะทำให้คลื่นสัญญาณมีการเปลี่ยนไป จึงทำให้ผู้รับหรือปลายทางนั้นมีการแปลความหมายผิดพลาดได้
เช่น สัญญาณเสียง เป็นต้น
สัญญาณดิจิตอล
มักเป็นสัญญาณที่ไม่มีในธรรมชาติ และถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการรับส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
เป็นสัญญาณที่ไม่มีความต่อเนื่องสัญญาณจะถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ
บางครั้งเรียกว่าดิสครีต (Discrete) ในระบบดิจิตอลเราจะพบลักษณะสัญญาณเป็นระบบเลขฐานสอง
(Binary) ซึ่งจะแทนค่าแรงดันไฟฟ้าสองระดับเท่านั้น เลขฐานสองแต่ละหลักที่ใช้ในระบบดิจิตอล
เรียกว่า หลักหรือดิจิต (Digit) สัญญาณดิจิตอลมีการเปลี่ยนแปลงระดับอย่างรวดเร็ว
จุดอ่อนที่สำคัญของสัญญาณดิจิตอล คือ เดินทางได้ไม่ไกลมากนัก
เนื่องจากมีการลดทอนสูง
ดิจิทัลมีระบบที่สามารถตัดสัญญาณความถี่ต่างๆได้ที่เรียกว่า “วงจรกรองความถี่ดิจิทัล (digital filter) ” ซึ่งสามารถทำงานำได้ดี
ในปัจจุบันวงจรต่างที่ซับซ้อนจะเป็นวงจรประเภทดิจิตอลทั้งสิ้น
มีผู้พัฒนาอุปกรณ์สำหรับผสมสัญญาณดิจิทัลเข้ากับสัญญาณอะนาล็อก
เพื่อใช้ส่งข้อมูลดิจิทัลไปในระยะที่ไกลขึ้น
การเก็บข้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์นั้นจะถูกเก็บอยู่ในรูปของเลขฐานสอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข หรือตัวอักขระ
ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกเก็บอยู่ในรูปรหัสเลขฐานสองที่แทนด้วยค่า “0” และค่า “1” โดยระบบจะนำค่าลอจิก “0”
และลอจิก “1” เหล่านี้มาจัดกลุ่มกัน เรียกว่า
รหัสแทนข้อมูล สำหรับรหัสที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่
รหัสเอสกี (ASCII Code)
มาจากคำว่า
(American Standard Code for Information Interchange)
รหัสเอสกี่นี้เป็นการนำเลขฐานสองจำนวน
7 บิต มาแทนจำนวนลักขระจำนวนหนึ่งตัว รวมทั้งรหัสควบคุมต่าง ๆ ด้วย ทำให้สามารถแทนข้อมูลได้ 128
ชนิด
ต่อมาได้พัฒนาให้รหัสแอสกีมีขนาดเป็น
8 บิต เพื่อให้สามารถแทนข้อมูลต่าง ๆ ได้มากขึ้น
รหัสเอ็บซีดิก (EBCDIC Code)
มาจากคำว่า (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code : EBCDIC) พัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็ม รหัสแทนข้อมูลนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้แล้วในปัจจุบัน การกำหนดรหัสจะใช้ 8 บิต ต่อหนึ่งอักขระ เหมือนกับรหัสแอสกี แต่แบบของรหัสที่กำหนดจะแตกต่างกัน
โดยรหัสเอ็บซิดิกจะเรียงลำดับแต่ละบิตที่ใช้แทนอักขระ
รหัสยูนิโค้ด (Unicode)
เนื่องจากรหัสแบบเก่า แทนตัวอักขระได้น้อย ทำให้ไม่พอใช้สำหรับตัวอักษรบางประเทศ จึงมีการนำรหัสนี้มาใช้ โดยหนึ่งตัวอักขระจะใช้เลขฐานสองแทนจำนวน 16
บิต หรือ 2 ไบต์
7.3 การส่งข้อมูล
(Data
transmission)
การโอนถ่าย
(Transmission) ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลายทาง
โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการกำหนดกฎเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ
วิธีการสื่อสารข้อมูล
ลักษณะของการสื่อสารข้อมูล
มี 2 รูปแบบคือ การสื่อสารแบบอนุกรม (serial data
transmission) และการสื่อสารแบบขนาน(parallel data
transmission) การสื่อสารแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรม
(serail data transmission) เป็นการส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิต ไปบนสัญญาณจนครบจำนวนข้อมูลที่มีอยู่ สามารถนำไปใช้กับสื่อนำข้อมูลที่มีเพียง1ช่องสัญญาณได้ สื่อนำข้อมูลที่มี 1 ช่องสัญญาณนี้จะมีราคาถูกกว่าสื่อนำข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ
และเนื่องจากการสื่อสารแบบอนุกรมมีการส่งข้อมูลได้ครั้งละ 1 บิตเท่านั้น
การส่งข้อมูลประเภทนี้จึงช้ากว่าการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิต
การสื่อสารข้อมูลแบบขนาน
(parallel data transmission) เป็นการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิตขนานกันไปบนสื่อนำข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ
วิธีนี้จะเป็นวิธีการส่งข้อมูลที่เร็วกว่าการส่งข้อมูลแบบอนุกรมจากรูป เป็นการแสดงการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ 2 ตัว ที่มีการส่งข้อมูลแบบขนาน โดยส่งข้อมูลครั้งละ 8 บิตพร้อมกัน
7.5.1 การส่งข้อมูลแบบอซิงโครนัส (Asynchronous
transmission) เป็นการส่งข้อมูลแบบไม่เป็นจังหวะ โดยจะมีบิตเริ่มและบิตจบอยู่ครอบหน้าหลังของข้อมูล
เพื่อบอกให้ผู้รับได้รู้ว่าจะมีการเริ่มต้นส่งข้อมูลมาแล้ว และบอกว่าการส่งข้อมูลได้สิ้นสุดลงแล้ว
เช่น ข้อมูล1ตัวอักษรมี8บิตแต่ต้องส่ง10บิตโดย2บิตที่เพิ่มขึ้นมาจะเป็นบิตเริ่มต้นและบิตสิ้นสุด
เช่น 1 0100 0001 0 เป็นต้น
7.5.2 การส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส (synchronous transmission) เป็นการส่งข้อมูลแบบเป็นจังหวะ ตามสัญญาณอนาฬิกา โดยสัญญาณนาฬิกาจะเป็นตัวควบคุมจังหวะ การส่งข้อมูลแบบนี้จะไม่มีการใช้บิตเริ่ม บิตจบ เหมือนอซิงโครนัส จะมีก็เฉพาะบิตที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเท่านั้น ซึ่งการไม่มีบิตเริ่มและบิตจบ ทำให้ปริมาณข้อมูลมีน้อยลง และสามารถประหยัดเวลาในการรับส่งได้
7.5.2 การส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส (synchronous transmission) เป็นการส่งข้อมูลแบบเป็นจังหวะ ตามสัญญาณอนาฬิกา โดยสัญญาณนาฬิกาจะเป็นตัวควบคุมจังหวะ การส่งข้อมูลแบบนี้จะไม่มีการใช้บิตเริ่ม บิตจบ เหมือนอซิงโครนัส จะมีก็เฉพาะบิตที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเท่านั้น ซึ่งการไม่มีบิตเริ่มและบิตจบ ทำให้ปริมาณข้อมูลมีน้อยลง และสามารถประหยัดเวลาในการรับส่งได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น